NZD/USD กลับลงจากระดับสูงสุดในรอบแปดเดือนที่ 0.6055 โดยซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 0.6010 ในช่วงชั่วโมงการซื้อขายในเอเชียในวันอังคาร คู่สกุลเงินปรับตัวลดลงเนื่องจากดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) ประสบปัญหา อาจเป็นผลมาจากข้อมูลดัชนีอัตราส่วนการค้าที่อ่อนกว่าที่คาดไว้ ซึ่งเพิ่มขึ้น 1.9% เมื่อเปรียบเทียบเป็นรายไตรมาสในไตรมาสแรก ลดลงจากการเพิ่มขึ้น 3.1% ในไตรมาสก่อนหน้าและต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาดที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.1% ราคาส่งออกเพิ่มขึ้น 7.1% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นที่ใหญ่ที่สุดในรอบสามปี ขณะที่ราคานำเข้าขึ้น 5.1% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 10 ไตรมาส
นอกจากนี้ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของ Caixin ประเทศจีนลดลงอย่างไม่คาดคิดสู่ 48.3 ในเดือนพฤษภาคม จากการอ่านก่อนหน้าที่ 50.4 ต่ำกว่าการคาดการณ์ที่ 50.6 อย่างไรก็ตาม ข้อมูลในช่วงสุดสัปดาห์แสดงให้เห็นว่าดัชนี PMI ภาคการผลิตของสำนักงานสถิติแห่งชาติ (NBS) เพิ่มขึ้นสู่ 49.5 ในเดือนพฤษภาคม จากการอ่านที่ 49.0 ในเดือนเมษายน NZD อาจได้รับผลกระทบจากข้อมูลเศรษฐกิจของจีน เนื่องจากทั้งสองประเทศเป็นคู่ค้าทางการค้าที่ใกล้ชิดกัน
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) คุณ Karen Silk กล่าวว่าตอนนี้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงกลางที่เป็นกลางที่ 2.5%–3.5% หลังจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 จุดเบสิส Silk ยังกล่าวว่าการตัดสินใจนโยบายเพิ่มเติมจะขึ้นอยู่กับข้อมูล
อย่างไรก็ตาม คู่ NZD/USD อาจฟื้นตัวกลับมาได้ เนื่องจากดอลลาร์สหรัฐ (USD) อาจยังคงประสบปัญหาในขณะที่มีความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ว่าจะเพิ่มภาษีนำเข้าสำหรับเหล็กและอลูมิเนียมเป็นสองเท่า โดยเพิ่มขึ้นเป็น 50% จาก 25% โดยมีผลในวันพุธ
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสถาบันการจัดการซัพพลาย (ISM) ลดลงสู่ 48.5 ในเดือนพฤษภาคม จาก 48.7 ในเดือนเมษายน ตัวเลขนี้ต่ำกว่าการคาดการณ์ที่ 49.5 เทรดเดอร์น่าจะสังเกตการประกาศข้อมูล JOLTS Job Openings ในภายหลังในวันอังคาร
ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) หรือที่เรียกกันในชื่อเล่นว่ากีวี เป็นสกุลเงินที่ซื้อขายกันดีในหมู่นักลงทุน มูลค่าของสกุลเงินดังกล่าวถูกกําหนดโดยความแข็งแรงของเศรษฐกิจนิวซีแลนด์และนโยบายจากธนาคารกลางภายในประเทศ ถึงกระนั้น ก็มีปัจจัยเฉพาะบางอย่างที่สามารถทําให้ NZD เคลื่อนไหวได้อย่างเช่น ผลการดําเนินงานของเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มที่จะขยับราคากีวี เนื่องจากจีนเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของนิวซีแลนด์ เช่นหากมีข่าวร้ายสําหรับเศรษฐกิจจีนก็มักจะหมายถึงการส่งออกของนิวซีแลนด์ไปยังประเทศจีนที่จะน้อยลง และส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจและค่าเงิน อีกปัจจัยหนึ่งที่ทําให้ NZD เคลื่อนไหวอย่างเจาะจงคือราคานม เนื่องจากอุตสาหกรรมนมเป็นสินค้าส่งออกหลักของนิวซีแลนด์ ราคานมที่สูงช่วยเพิ่มรายได้จากการส่งออก ซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและต่อสกุลเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์
ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ตั้งเป้าที่จะบรรลุและรักษาอัตราเงินเฟ้อระหว่าง 1% ถึง 3% ในระยะกลาง โดยมุ่งเน้นที่จะควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ใกล้จุดกึ่งกลางที่ 2% ด้วยเหตุนี้ธนาคารจึงจะกําหนดระดับอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม เมื่ออัตราเงินเฟ้อสูงเกินไป RBNZ จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อทําให้เศรษฐกิจเย็นตัวลง แล้วการดำเนินการดังกล่าวจะทําให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้นเพิ่มความน่าสนใจของนักลงทุนที่จะลงทุนในประเทศและช่วยหนุนค่าเงิน NZD ในทางตรงกันข้าม อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงมีแนวโน้มที่จะทำให้ NZD อ่อนค่าลง ด้านส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยหรือที่เรียกว่า Rate Differential ในนิวซีแลนด์คือระดับของอัตราดอกเบี้ยในนิวซีแลนด์หรือที่ธนาคารกลางคาดการณ์ เทียบกับอัตราดอกเบี้ยที่เป็นหรือกําหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐ ยังสามารถมีบทบาทสําคัญในการขยับคู่เงิน NZD/USD
การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจระดับมหภาคในนิวซีแลนด์เป็นกุญแจสําคัญในการประเมินสถานะทางเศรษฐกิจและอาจส่งผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าของดอลลาร์นิวซีแลนด์ได้ เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งบนพื้นฐานของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง การว่างงานต่ำและความเชื่อมั่นนักลงทุนที่สูงเป็นปัจจัยบวกสําหรับ NZD การเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและอาจกระตุ้นให้ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหากความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจนี้มาพร้อมกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ในทางกลับกันหากข้อมูลเศรษฐกิจอ่อนแอ สกุลเงิน NZD ก็มีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลง
ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) มีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ต้องมีความกล้าเสี่ยง หรือแม้เมื่อนักลงทุนรับรู้ว่าความกล้าเสี่ยงของด้านตลาดในวงกว้างอยู่ในระดับต่ำแต่มีการมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตการเติบโต สถานการณ์นี้ก็มีแนวโน้มที่จะนําไปสู่แนวโน้มเชิงบวกมากขึ้นสําหรับสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ และสกุลเงินแบบที่เรียกว่า 'สกุลเงินสายสินค้าโภคภัณฑ์' อย่างเช่นกีวีด้วย NZD มีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงในช่วงเวลาที่ตลาดปั่นป่วนหรือมีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เนื่องจากนักลงทุนมักจะขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงและหลบไปถือสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีเสถียรภาพมากกว่า