เปโซเม็กซิกันทรงตัวเนื่องจากการปรับลดอันดับเครดิตของมูดี้ส์กดดันดอลลาร์สหรัฐ
- เปโซเม็กซิกันแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากการปรับลดอันดับเครดิตของสหรัฐฯ โดย Moody’s ส่งผลกระทบต่อเงินดอลลาร์
- ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คาดว่าจะพิจารณาอัตราดอกเบี้ยในวันจันทร์ ซึ่งเป็นอัตราที่เรียกเก็บจากธนาคารพาณิชย์
- USD/MXN ยังคงระมัดระวังอยู่ต่ำกว่าระดับแนวต้านทางจิตวิทยาที่สำคัญที่ 19.50
เปโซเม็กซิกัน (MXN) ยังคงแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ (USD) ขณะที่ตลาดตอบสนองต่อความไม่แน่นอนที่กลับมาอีกครั้งหลังจากการปรับลดอันดับเครดิตของสหรัฐฯ โดย Moody’s การตัดสินใจลดอันดับเครดิตของสหรัฐฯ จาก AAA เป็น AA1 ทำให้เกิดการประเมินสถานะของดอลลาร์สหรัฐใหม่ แม้ว่า MXN จะได้รับประโยชน์เล็กน้อยจากความอ่อนแอของ USD แต่โทนความเสี่ยงที่กว้างขึ้นในตลาดทำให้สกุลเงินเม็กซิกันอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ เช่น ยูโร (EUR), ปอนด์สเตอร์ลิง (GBP) หรือดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD)
แม้ว่าเงินดอลลาร์จะยังคงสถานะเป็นเงินสำรองทั่วโลกและมีเสน่ห์ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความตึงเครียดทางการค้า ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาษี และแนวโน้มการคลังที่เสื่อมถอยกำลังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น ปัจจัยภายในโครงสร้าง เช่น หนี้สหรัฐที่พุ่งสูงขึ้นและแนวโน้มการเติบโตที่ซบเซา ได้ทำให้ความคาดหวังเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยลดลงและส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างกว้างขวาง
ในขณะที่เขียน USD/MXN กำลังซื้อขายใกล้ 19.43 ลดลง 0.12% ในวันนี้ แนวรับทางจิตวิทยาเดิมที่ 19.50 ตอนนี้กลายเป็นแนวต้าน โดยนักลงทุนในตลาดกำลังจับตามองว่าเปโซจะสามารถรักษาโมเมนตัมขาขึ้นได้หรือไม่
บทสรุปประจำวันของเปโซเม็กซิกัน: USD ถูกกดดันจากการปรับลดของ Moody’s และการมุ่งเน้นของเฟด
- Moody’s กลายเป็นหน่วยงานจัดอันดับเครดิตหลักล่าสุดที่ปรับลดอันดับเครดิตของสหรัฐฯ ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้นและดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ร่วงลง
- เมื่อความเสี่ยงด้านเครดิตที่รับรู้เพิ่มขึ้น สหรัฐฯ ต้องเสนออัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเพื่อดึงดูดนักลงทุนที่อาจจะย้ายทุนไปยังสินทรัพย์ปลอดภัยทางเลือกอื่น แม้ว่าผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นมักจะสนับสนุน USD แต่บริบทที่กว้างขึ้นของความไม่มั่นคงทางการคลังมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อเงินดอลลาร์
- ความคิดเห็นจากผู้พูดของเฟดตลอดทั้งวันอาจให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มของนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ซึ่งมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของดอลลาร์สหรัฐเมื่อเปรียบเทียบกับสกุลเงินทั่วโลก รวมถึง USD/MXN
- เจ้าหน้าที่เฟดห้าคนอยู่ในวาระการประชุม: ประธานเฟดแอตแลนตา ราฟาเอล บอสติก, รองประธานเฟด ฟิลิป เจฟเฟอร์สัน, ประธานเฟดนิวยอร์ก จอห์น วิลเลียมส์, ประธานเฟดดัลลัส ลอรี โลแกน, และประธานเฟดมินนิอาโปลิส นีล คัชคารี
- ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างเม็กซิโกและสหรัฐฯ ที่ยังคงมีอยู่ยังคงสร้างความเสี่ยงด้านลบต่อเปโซ โดยประมาณ 80% ของการส่งออกของเม็กซิโกไปยังสหรัฐฯ การหยุดชะงักหรือความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาษีใด ๆ อาจทำให้ความผันผวนในตลาดคู่เงินนี้เพิ่มขึ้น
การวิเคราะห์ทางเทคนิคของเปโซเม็กซิกัน: USD/MXN ยังคงอยู่ขณะที่กระทิงและหมีต่อสู้กันอยู่ต่ำกว่า 19.50
USD/MXN ยังคงปรับฐานในช่วงแคบ โดยอยู่ต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย (SMA) 10 วัน ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 19.51 ซึ่งทำหน้าที่เป็นแนวต้านที่มีพลศาสตร์ คู่เงินนี้ยังคงถูกจำกัดอยู่ต่ำกว่าระดับการย้อนกลับ Fibonacci 23.6% ของการวิ่งขึ้นระหว่างเดือนตุลาคมถึงกุมภาพันธ์ที่ 19.72 ซึ่งเสริมสร้างแนวโน้มขาลงที่กว้างขึ้น แม้ว่าจะมีความพยายามซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการกลับไปยังระดับที่สูงขึ้น แต่การเคลื่อนไหวของราคายังคงถูกจำกัดอยู่ในโซนการปรับฐานที่มีการทำเครื่องหมายระหว่าง 19.40 และ 19.70 โดยมีแนวโน้มขาลงที่ชัดเจน
กราฟรายวัน USD/MXN
การทะลุระดับต่ำกว่า 19.40 — ขอบล่างของช่วงปัจจุบัน — อาจเปิดเผยระดับต่ำสุดในเดือนพฤษภาคมและแนวรับที่สำคัญที่ 19.30 ในด้านบวก กระทิงจะต้องปิดวันสูงกว่า 19.72 เพื่อเปลี่ยนโมเมนตัมและตั้งเป้าหมายที่ระดับการย้อนกลับ 38.2% ที่ 19.98 ตามด้วยแนวต้านทางจิตวิทยาที่ 20.00
ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (RSI) แบนที่ 41.07 สัญญาณโมเมนตัมขาลงเล็กน้อยและเพิ่มความเสี่ยงของการเคลื่อนไหวต่อไปในทิศทางขาลง
US Dollar FAQs
ดอลลาร์สหรัฐ (USD) เป็นสกุลเงินที่ใช้อย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกา และเป็นสกุลเงินที่ใช้ 'โดยพฤตินัย' ของประเทศอื่น ๆ จำนวนมากที่มีการหมุนเวียนควบคู่ไปกับสกุลเงินท้องถิ่น เป็นสกุลเงินที่มีการซื้อขายกันมากที่สุดในโลก โดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 88% ของมูลค่าการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศทั่วโลก หรือมีมูลค่าธุรกรรมเฉลี่ย 6.6 ล้านล้านดอลลาร์ต่อวันตามข้อมูลของปี 2022 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สกุลเงิน USD เข้ามารับช่วงต่อตำแหน่งสกุลเงินสำรองของโลกจากสกุลเงินปอนด์ของอังกฤษที่เป็นในประวัติศาสตร์ใหญ่ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐได้ถูกค้ำด้วยทองคำ จนกระทั่งเกิดข้อตกลง Bretton Woods ในปี 1971 เมื่อมาตรฐานการค้ำด้วยทองคำหมดไป
ปัจจัยเดียวที่สำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐคือนโยบายทางการเงินซึ่งกำหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เฟดมีหน้าที่สองประการ: เพื่อให้บรรลุเสถียรภาพด้านราคา (ควบคุมอัตราเงินเฟ้อ) และส่งเสริมการจ้างงานเต็มรูปแบบ เครื่องมือหลักในการบรรลุเป้าหมายทั้งสองนี้คือการปรับอัตราดอกเบี้ย เมื่อราคาต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้นเร็วเกินไปและอัตราเงินเฟ้อสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟด ทางเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยซึ่งจะหนุนค่าเงิน USD แต่เมื่ออัตราเงินเฟ้อลดลงต่ำกว่า 2% หรืออัตราการว่างงานสูงเกินไป เฟดอาจเลือกปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งเป็นแรงกดดันต่อสกุลเงินดอลลาร์
ในสถานการณ์ที่รุนแรงมากจริง ๆ ทาง Federal Reserve ยังสามารถพิมพ์ดอลลาร์ออกมาเพิ่มเติมและออกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ได้ การทำ QE เป็นกระบวนการที่เฟดเพิ่มการไหลเวียนของสินเชื่อในระบบการเงินที่ติดขัดอยู่อย่างมาก โดยเป็นมาตรการทางนโยบายที่ไม่ได้เป็นมาตรฐานซึ่งใช้เมื่อสินเชื่อหมดเนื่องจากธนาคารจะไม่ให้กู้ยืมระหว่างกัน (เพราะกลัวคู่สัญญาจะผิดนัดชำระหนี้) ก็เป็นทางเลือกสุดท้ายเมื่อการลดอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวไม่น่าจะบรรลุผลลัพล์ที่จำเป็น ถือเป็นเครื่องทางเลือกสุดท้ายของเฟดในการต่อสู้กับวิกฤติสินเชื่อที่เกิดขึ้นระหว่างวิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งใหญ่ในปี 2008 โดยเกี่ยวข้องกับการที่เฟดพิมพ์เงินดอลลาร์เพิ่มขึ้นและใช้เงินเหล่านั้นเพื่อซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากสถาบันการเงินต่าง ๆ การทำ QE มักจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง
การกระชับเชิงปริมาณ (QT) เป็นกระบวนการย้อนกลับของการทำ QE โดยที่ Federal Reserve จะหยุดซื้อพันธบัตรจากสถาบันการเงินและไม่นำเงินต้นไปลงทุนใหม่จากพันธบัตรที่ถืออยู่เพื่อซื้อใหม่ ซึ่งมักจะเป็นปัจจัยบวกสำหรับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
บทความแนะนำ
