TradingKey – ในฐานะสกุลเงินที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลก ดอลลาร์สหรัฐฯ มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและระบบการเมืองของหลายประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม ในช่วงเทอมที่สองของโดนัลด์ ทรัมป์ ความพยายามลดดุลการค้าได้ชนกับความพยายามรักษาอำนาจของดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินสำรองโลก ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ในมุมที่ขัดแย้งกันไปมาว่า นโยบายของรัฐบาลชอบดอลลาร์แข็งหรือดอลลาร์อ่อน
ในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2024 นโยบายเก็บภาษีสินค้านำเข้าและโอกาสชนะสูงของทรัมป์ สร้างกระแส “ดอลลาร์แข็ง” ขึ้นมา แต่มาในห้าเดือนแรกของเทอมทรัมป์ 2.0 ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ (DXY) กลับร่วงไปสู่ระดับแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เทขายในตลาด Wall Street จึงเริ่มรับรู้ว่า นี่น่าจะเป็นยุคของ “ดอลลาร์อ่อน”
ในฐานะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองมายาวนาน ดอลลาร์สหรัฐฯ จึงมักถูกมองว่าแข็งค่าเป็นเรื่องปกติ ประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ก็เคยมีประธานาธิบดีหลายคนยอมรับให้ดอลลาร์อ่อนลงบ้าง เพื่อช่วยเรื่องการแข่งขันด้านการส่งออก
แต่ครั้งนี้ กลับเกิดตรรกะ “Sell America” ที่ทำให้นักลงทุนมองว่า สหรัฐฯ กำลังน่าเทขาย…ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
ผ่านสถาบันหลักอย่างระบบแบรตตอนวูดส์ (ทองคำผูกกับดอลลาร์) และระบอบปิโตรดอลลาร์ในทศวรรษ 1970 (น้ำมันตีราคาเป็นดอลลาร์) ดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงครองตำแหน่งสกุลเงินสำรองของโลกมาหลายสิบปี
แม้ยูโร เยน และหยวนจะเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในภูมิทัศน์สกุลเงินระหว่างประเทศที่หลากหลายกว่าเดิม แต่ก็ยังไม่มีสกุลเงินใดทัดเทียมได้ในเรื่องสภาพคล่อง ความลึกของตลาด หรือตราสารสนับสนุนจากสถาบันต่างๆ
บทบาทระหว่างประเทศของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มา: BIS
แม้ในช่วงหลังจะมีแนวโน้มลดการพึ่งพาดอลลาร์ (de-dollarization) จากการเติบโตของยูโร การขยายตัวของกลุ่ม BRICS และโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีน แต่ดอลลาร์ยังคงยืดหยุ่นและแข็งแกร่งอย่างน่าทึ่ง
ความแข็งแกร่งหรืออ่อนตัวของดอลลาร์สหรัฐฯ มักถูกวัดโดยดัชนีดอลลาร์ (DXY) ซึ่งติดตามมูลค่าของดอลลาร์เทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลัก ได้แก่ ยูโร เยน และปอนด์ ดอลลาร์อ่อนหมายถึงช่วงเวลาที่มีการลดค่าอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ดอลลาร์แข็งหมายถึงช่วงที่ดอลลาร์มีการแข็งค่าขึ้น
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ DXY ที่มา: Trading Economics
ปัจจัยที่ส่งผลต่อ DXY ได้แก่:
ดอลลาร์แข็งจะเพิ่มความน่าสนใจในการถือครองเงินสด สินทรัพย์ Treasury และหุ้นสหรัฐฯ ดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศ ในทางกลับกัน ดอลลาร์อ่อนจะลดผลตอบแทนจากสินทรัพย์ดอลลาร์ และอาจกระตุ้นให้เกิดการไหลออกของเงินทุน
ในมุมมองการเทรด:
ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ เคยตั้งใจให้ดอลลาร์อ่อนเพื่อกระตุ้นการส่งออก เช่น ในสมัยข้อตกลงพลาซา (1985) หรือแนวคิดข้อตกลง Mar-a-Lago
คำตอบไม่สามารถสรุปได้ง่ายๆ สัญญาณนโยบายของทรัมป์แสดงออกทั้งสองแนวทาง
บางฝ่ายโต้แย้งว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยุคไหนก็ไม่อยากได้ดอลลาร์แข็งจัด พวกเขาล้วนต้องการดอลลาร์อ่อนเพื่อส่งเสริมการส่งออกและลดดุลการค้า แต่ในทางปฏิบัติ นโยบายของทรัมป์ก็มีข้อความที่ขัดกันอยู่
ฝ่ายหนึ่ง ทรัมป์มุ่งลดดุลการค้าที่สูงลิบมาตลอดครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา บ่งชี้ว่าต้องการดอลลาร์อ่อนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออกของสหรัฐฯ ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่ง รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) ยืนยันต่อเนื่องว่ารัฐบาลยังคงยึดมั่นนโยบายดอลลาร์แข็งเหมือนเดิม
ดอลลาร์อ่อนไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อเฉพาะผู้ส่งออกเท่านั้น แต่ยังเป็นรูปแบบของ “hegemonic depreciation” ลดอำนาจซื้อของสำรองดอลลาร์ที่ต่างชาติดำเนินการ ถือเป็นอำนาจเชิงนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ และลดภาระหนี้สินสหรัฐฯ ในเชิงจริง
ทรัมป์เคยเตือนว่า การเสียสถานะสกุลเงินสำรองโลกของดอลลาร์เปรียบเสมือนการแพ้สงคราม
ในอดีต รัฐบาลสหรัฐฯ หลายยุคสามารถทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าโดยไม่ก่อให้เกิดความไม่เสถียรในระบบเศรษฐกิจ เช่น ในสมัยอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ดอลลาร์อ่อนช่วยพยุงการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมให้เติบโต ในขณะที่ภายใต้รัฐบาลไบเดน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายยังทำให้ดอลลาร์อ่อนลง แต่เศรษฐกิจกลับยังแข็งแกร่งอยู่ดี
อย่างไรก็ตาม ความพยายามของทรัมป์ที่จะสนับสนุนดอลลาร์ให้แข็งและอ่อนในเวลาเดียวกัน กลับสร้างปัญหาเชิงปรัชญาในมุมมองของผู้วิเคราะห์ ซึ่งเรียกว่า “ปัญหาดอลลาร์” (dollar dilemma)
แทนที่จะช่วยสนับสนุนบทบาทระดับโลกของดอลลาร์ นโยบายของทรัมป์กลับลดความเชื่อมั่นในสกุลเงินนี้ไปทีละน้อย:
การเคลื่อนไหวที่ไม่สอดคล้องและคาดเดาไม่ได้เหล่านี้ทำให้นักลงทุนหวาดกลัว
นักวิเคราะห์จากธนาคาร Deutsche Bank เตือนว่า นโยบายของสหรัฐฯ กำลังเร่งให้โลกห่างไกลจากการใช้ดอลลาร์ (de-dollarization) ขณะที่ Morgan Stanley คาดว่า ภายในกลางปี 2026 ดัชนีดอลลาร์ (DXY) อาจปรับลดจากราว 100 ลงมาที่ 91 หรือร่วงถึง 9%
การเปลี่ยนจากกระแสดอลลาร์แข็งมาเป็นกระแสดอลลาร์อ่อน มักมาพร้อมกับเหตุการณ์ขาดทุนสามด้านในตลาดสหรัฐฯ ทั้งหุ้น พันธบัตร และดอลลาร์เอง ความเจ็บปวดนี้มาจากความขัดแย้งภายในนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ และความเชื่อมั่นที่ลดน้อยถอยลงในหมู่นักลงทุนทั่วโลก
เมื่อดอลลาร์อ่อนค่า การไหลเวียนของเงินทุนได้ย้ายไปสู่ตลาดยุโรป ญี่ปุ่น และบางตลาดในเอเชียมากขึ้น พันธบัตรในยูโรโซนได้รับความนิยมสูงขึ้น และทองคำกลับมาเป็นทางเลือกป้องกันความเสี่ยงอีกครั้ง
Morgan Stanley ระบุว่า นักลงทุนต่างชาติไม่เพียงแต่กำลังประเมินความเสี่ยงของสินทรัพย์สหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังประเมินการถือครองดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วย
Wells Fargo เห็นว่ามีแนวโน้มระยะกลางที่ดอลลาร์จะอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ส่วน JPMorgan แนะนำให้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนไปยังเยน ยูโร และดอลลาร์ออสเตรเลีย ขณะที่ Morgan Stanley มองว่า ยูโร เยน และฟรังก์สวิสคือสกุลเงินที่อาจได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าของดอลลาร์
ปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ประธานธนาคารกลางยุโรป Christine Lagarde ท้าทายอำนาจครอบงำของดอลลาร์ เรียกร้องให้ยุโรปยกระดับความแข็งแกร่งด้านภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจ และกฎหมาย เพื่อส่งเสริมการใช้งานยูโรในระดับสากลให้มากขึ้น