รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของอิหร่าน นาย Hossein Amir-Abdollahian กล่าวว่า "อิหร่านเต็มใจที่จะอดกลั้นใจ และไม่มีความตั้งใจที่จะทําให้สถานการณ์ความรุนแรงต่าง ๆ บานปลายไปมากกว่านี้"
ในการโทรศัพท์กับรัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่าน รัฐมนตรีต่างประเทศของจีนกล่าวว่า "ผมเชื่อว่าอิหร่านจะสามารถเข้าใจสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างดีและหลีกเลี่ยงความไม่มั่นคงใด ๆ มากขึ้น ในขณะที่ปกป้องอธิปไตยและศักดิ์ศรีของอิหร่านไว้"
แม้จะมีความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านเบาบางลง แต่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยยังคงพบความต้องการใหม่ ๆ เมื่อเทียบกับสกุลเงินรายใหญ่อื่น ๆ โดยดัชนีดอลลาร์สหรัฐซื้อขายสูงขึ้น 0.13% ในวันนี้ อยู่ที่ 106.35 ในขณะที่เขียนข่าวนี้
ในโลกของศัพท์แสงทางการเงินคําที่ใช้กันอย่างแพร่หลายสองคํา คำว่า "risk-on" และ "risk off" หมายถึงระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนเต็มใจที่จะยอมรับในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ที่อ้างอิง ในตลาด "ที่กล้าเสี่ยง (risk-on)" นักลงทุนจะมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตและเต็มใจที่จะซื้อสินทรัพย์เสี่ยงต่าง ๆ มากขึ้น ส่วนในตลาดที่ "หลีกเลี่ยงความเสี่ยง (risk-on)" นักลงทุนจะเริ่ม 'เทรดอย่างเน้นความปลอดภัย' เพราะพวกเขากังวลเกี่ยวกับอนาคต ดังนั้นจึงซื้อสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า ซึ่งมีความแน่นอนมากขึ้นในการได้ผลตอบแทนแม้ว่ากำไรที่จะได้จะไม่มากก็ตาม
โดยปกติในช่วงที่ "มีความกล้าเสี่ยง (risk-on)" ตลาดหุ้นจะราคาเพิ่มขึ้น สินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่ยกเว้นทองคําก็จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเช่นกัน เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจในเชิงบวก สกุลเงินของประเทศที่เป็นผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ ก็จะแข็งแกร่งขึ้นเนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้น รวมถึงสกุลเงินคริปโตก็เพิ่มขึ้นในตลาดเช่นกัน โดยในฝั่งของ "การหลีกเลี่ยงความเสี่ยง (risk-off)" ผลตอบแทนพันธบัตรจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลใหญ่ ๆ ทองคําจะราคาสูงขึ้น และสกุลเงินที่นับว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยต่าง ๆ อย่างเช่น เงินเยนญี่ปุ่น ฟรังก์สวิส และดอลลาร์สหรัฐ ล้วนได้รับอานิสงส์
ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) ดอลลาร์แคนาดา (CAD) ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) และสกุลเงิน FX กลุ่มที่รองลงมา อย่างเช่น รูเบิล (RUB) และแรนด์ของแอฟริกาใต้ (ZAR) ก็ล้วนมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นในตลาดที่ "มีความกล้าเสี่ยง" นี่เป็นเพราะเศรษฐกิจของสกุลเงินเหล่านี้พึ่งพาการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์อย่างมากเพื่อการเติบโต และสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มที่จะราคาสูงขึ้นในช่วงที่มีความกล้าเสี่ยง เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ความต้องการวัตถุดิบต่าง ๆ ที่มากขึ้นในอนาคตเกิดจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น
สกุลเงินหลักที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงที่ "หลีกเลี่ยงความเสี่ยง" ได้แก่ ดอลลาร์สหรัฐ (USD) เยนญี่ปุ่น (JPY) และฟรังก์สวิส (CHF) เนื่องจากดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินสํารองหลัก ๆ ของโลกและเนื่องจากในช่วงวิกฤตนักลงทุนจะซื้อพันธบัตรหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งถูกมองว่าปลอดภัยเพราะเป็นประเทศฐานเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกจึงไม่น่าจะผิดนัดชําระหนี้ ในส่วนของเงินเยน ความต้องการพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากนักลงทุนในประเทศถือหุ้นในสัดส่วนที่สูงซึ่งไม่น่าจะทิ้งพันธบัตรเหล่านี้แม้ในภาวะวิกฤต ส่วนฟรังก์สวิส เนื่องจากกฎหมายการธนาคารของสวิสที่เข้มงวดจะช่วยให้นักลงทุนได้รับการคุ้มครองเงินทุนที่มากขึ้น