WTI กลับขึ้นไปยืนเหนือ $83.50 เพราะตลาดถูกกดดันจากตัวเลข GDP สหรัฐฯ ที่น่าผิดหวังและความกังวลทางภูมิรัฐศาสตร์
- ในช่วงเช้าของตลาดลงทุนเอเชียวันศุกร์ WTI ฟื้นตัวเป็น $83.60 ต่อบาร์เรล
- ความคาดหวังว่าเฟดอาจชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน
- ความกังวลอุปทานน้ำมันหยุดชะงักที่เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ครั้งใหม่ทําให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น
ในวันศุกร์ ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต (WTI) เกณฑ์มาตรฐานน้ํามันดิบของสหรัฐฯ ซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 83.60 ดอลลาร์ ราคาน้ำมันขยับสูงขึ้นเนื่องจากตลาดทุนถูกกดดันจากข้อมูลการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่อ่อนแอกว่าที่คาดไว้ นอกจากนี้นักลงทุนต้องการเลี่ยงความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจเกิดขึ้นจากที่อิสราเอลไปรุกรานเมืองราฟาห์ทางตอนใต้ของฉนวนกาซา
ราคา WTI เผชิญกับการเทขายบางส่วนหลังจากรายงาน GDP ของกระทรวงพาณิชย์ในวันพฤหัสบดีเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวในอัตราที่น้อยที่สุดในรอบเกือบสองปีในไตรมาสแรก (ไตรมาสที่ 1) ของปี 2024 สาเหตุนั้นเป็นเพราะอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วขึ้น GDP ขั้นสูงของสหรัฐฯ เติบโต 1.6% ต่อปี ในไตรมาสแรก (Q1) ปี 2024 เทียบกับการเติบโต 3.4% ในไตรมาสที่ 4 ปี 2023 ตัวเลขนี้น้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 2.5% นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกายังคงสูงขึ้น และ อาจทําให้เกิดการเก็งว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยก่อนเดือนกันยายน
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบ WTI ฟื้นตัวและทรงตัวในแดนบวกหลังจากนางเจเน็ต เยลเลน (Janet Yellen) รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ กล่าวว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ น่าจะแข็งแกร่งกว่าที่ข้อมูลรายไตรมาสที่อ่อนแอกว่าที่คาดไว้บอกออกมา
นอกจากนี้ ความกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันหยุดชะงักท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทําให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น จากรายงานของรอยเตอร์ อิสราเอลเปิดฉากโจมตีทางอากาศใส่ราฟาห์ในขณะที่ประเทศเตรียมบุกเมือง
ความกังวลเกี่ยวกับปริมาณน้ำมันดิบคงคลังเชิงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ที่ลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่กลางเดือนมกราคมยังทําให้ราคา WTI สูงขึ้นเช่นกัน สํานักงานสารสนเทศด้านพลังงาน (EIA) รายงานว่าปริมาณน้ำมันดิบคงคลังในสัปดาห์ที่นับถึงวันที่ 19 เม.ย. ลดลง 6.368 ล้านบาร์เรลจากการประกาศก่อนหน้านี้ที่ 2.735 ล้านบาร์เรล
บทความที่เกี่ยวข้อง
