การฟื้นตัวของ USD/JPY หยุดชะงักต่ำกว่า 143.00 แม้จะมีบรรยากาศตลาดที่สดใส
- ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวขึ้นเล็กน้อยจากความต้องการความเสี่ยง แต่ยังคงถูกกดดันอยู่ต่ำกว่า 143.00
- ความกังวลเกี่ยวกับความประมาททางการคลังของสหรัฐฯ กดดันสินทรัพย์ทั้งหมดของสหรัฐฯ
- เยนลดการขาดทุนก่อนการแถลงข่าวของอูเอดะ ซึ่งมีกำหนดในวันอังคาร
ผลกระทบเชิงบวกจากการลดความตึงเครียดในความขัดแย้งทางการค้าล่าสุดของทรัมป์กับสหภาพยุโรปมีผลกระทบเชิงบวกที่จำกัดต่อดอลลาร์สหรัฐ USD/JPY ไม่สามารถหาผู้ซื้อได้เหนือระดับแนวรับก่อนหน้านี้ซึ่งตอนนี้กลายเป็นแนวต้านที่บริเวณ 143.00
ทรัมป์ทำให้ความกังวลสงบลงในช่วงสุดสัปดาห์เมื่อเขาประกาศหยุดการเก็บภาษี 50% สำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมดจากสหภาพยุโรปที่ประกาศเมื่อวันศุกร์ ข่าวนี้ได้กระตุ้นความต้องการสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง ซึ่งกดดันสินทรัพย์ที่ปลอดภัยเช่นเยน อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์สหรัฐดูเหมือนจะไม่สามารถห่างไกลจากจุดต่ำสุดเมื่อวันศุกร์ที่ 142.35 ได้อย่างมีนัยสำคัญ
ความกังวลเกี่ยวกับหนี้สหรัฐฯ กดดันการฟื้นตัวของดอลลาร์สหรัฐ
นักลงทุนกำลังใช้แนวทางที่ระมัดระวังต่อสินทรัพย์ทั้งหมดของสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Moody’s ปรับลดอันดับเครดิตหนี้ของสหรัฐฯ ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นว่าร่างกฎหมายภาษีที่กว้างขวางของทรัมป์จะทำให้ขาดดุลของสหรัฐฯ ที่สูงอยู่แล้วเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว
ร่างกฎหมายภาษีซึ่งผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรเมื่อสัปดาห์ที่แล้วและจะมีการอภิปรายในวุฒิสภาในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ คาดว่าจะทำให้หนี้สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นประมาณ 3.8 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า สิ่งนี้ทำให้ความเชื่อมั่นในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และดอลลาร์สหรัฐลดลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ปริมาณการซื้อขายในวันนี้เบาบาง เนื่องจากตลาดสหรัฐฯ ปิดทำการในวันหยุดธนาคาร ในญี่ปุ่น ความสนใจจะอยู่ที่การแถลงของผู้ว่าการ BoJ อูเอดะในวันอังคารและตัวเลข CPI โตเกียวในวันพฤหัสบดี ในสหรัฐฯ รายงานการประชุมเฟดในวันพุธและอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในวันศุกร์จะเป็นไฮไลท์ของสัปดาห์
Risk sentiment FAQs
ในโลกของศัพท์ทางการเงิน มักจะมีคําที่ใช้กันอย่างแพร่หลายสองคํา "risk-on" และ "risk off" สองคำนี้หมายถึงระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนเต็มใจที่จะยอมรับในช่วงเวลาที่อ้างอิง ในตลาดลงทุนที่ "เปิดรับความเสี่ยง" คือสิ่งที่นักลงทุนมีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับอนาคต และเต็มใจที่จะซื้อสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ในตลาดลงทุนที่ "ปิดรับความเสี่ยง" นักลงทุนเริ่ม 'ลงทุนอย่างปลอดภัย' เพราะพวกเขากังวลเกี่ยวกับอนาคต ดังนั้นจึงซื้อสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า ซึ่งมีความแน่นอนมากขึ้นในการให้ผลตอบแทนแม้ว่าจะค่อนทำกำไรได้น้อยก็ตาม
โดยปกติในช่วงที่ตลาดลงทุน "มีความเสี่ยง" ตลาดหุ้นจะเพิ่มขึ้นสินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่เข้าพอร์ต ทองคําก็จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในช่วงเวลานี้เช่นกันเนื่องจากได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการเติบโตที่มีมากขึ้น สกุลเงินของประเทศที่เป็นผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์จํานวนมากจะแข็งแกร่งขึ้นเเพราะความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น สกุลเงินดิจิทัลก็จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในตลาดลงทุนที่ "ปิดรับความเสี่ยง" พันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลชื่อดัง ทองคําได้รับความนิยม และสกุลเงินที่ถือได้ว่าเป็นสินทรัพย์สำรองปลอดภัย เช่น เยนญี่ปุ่น ฟรังก์สวิส และดอลลาร์สหรัฐ ล้วนได้รับประโยชน์
ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) ดอลลาร์แคนาดา (CAD) ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) และสกุลเงินรองลงมา เช่น รูเบิล (RUB) และแรนด์แอฟริกาใต้ (ZAR) ล้วนมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในตลาดที่ "เปิดรับความเสี่ยง" นี่เป็นเพราะเศรษฐกิจของสกุลเงินเหล่านี้พึ่งพาการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์อย่างมากเพื่อการเติบโต และสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มที่จะขึ้นราคาในช่วงที่ตลาดกล้าเปิดรับความเสี่ยง เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าจะมีความต้องการวัตถุดิบมากขึ้นในอนาคตเพราะกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น
สกุลเงินหลักที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงที่ "ปิดรับความเสี่ยง" ได้แก่ ดอลลาร์สหรัฐ (USD) เยนญี่ปุ่น (JPY) และฟรังก์สวิส (CHF) ดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินสํารองของโลกและเพราะในช่วงวิกฤต นักลงทุนจะซื้อหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งถูกมองว่าปลอดภัยเพราะเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างสหรัฐอเมริกาไม่น่าจะผิดนัดชําระหนี้ เงินเยนจะแข็งค่าขึ้นเพราะมีความต้องการพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นมากขึ้น สาเหตุนั้นเป็นเพราะนักลงทุนในประเทศที่ถือหุ้นด้วยสัดส่วนที่สูงไม่น่าจะทิ้งพันธบัตรเหล่านี้แม้อยู่ในภาวะวิกฤต ฟรังก์สวิสแข็งค่าขึ้นเพราะกฎหมายการธนาคารของสวิสที่เข้มงวดช่วยให้นักลงทุนได้รับการคุ้มครองเงินทุนมากขึ้น
บทความแนะนำ
